17 กันยายน 2554

วันนี้ในอดีต: พระราชดำรัส ๖


"..การศึกษาที่สมบูรณ์ครบถ้วนทัั้งส่วนวิชาการและศีลธรรมจรรยานั้น เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นรากฐานและปัจจัยเครื่องส่งเสริมให้บุคคลสามารถพัฒนาตัวเองได้อย่างแท้จริง คือ เมื่อทุกคนมีความรู้พร้อม ทั้งมีศีลธรรมอันดีงาม ย่อมสามารถทำงานหาเลี้ยงชีพและดำรงชีวิตอยู่ได้โดยสวัสดีและมั่นคงได้ และผู้ที่ตั้งตัวได้มั่นคงเช่นนี้ ย่อมสามารถสร้างฐานะและความเป็นอยู่ดีมีสุขให้แก่ตัวเองและครอบครัวได้ดีขึ้นเป็นลำดับ ยิ่งกว่านั้นยังสามารถเผื่อแผ่ความดีความเจริญของตัวให้เป็นประโยชน์ถึงส่วนรวมอีกด้วย.."
พระราชดำรัสเมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๒๔

เราควรต้องมีความสมดุลในตนเองทั้งพื้นฐานความรู้และจิตใจที่ดีงาม ซึ่งความสมดุลของทั้ง ๒ สิ่งนั้นเป็นแบบไม่สมมาตรและสามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสภาวะการณ์นั้นๆ

ข้อควรคิด
แต่เดิมนั้นเมืองไทยเป็นประเทศที่อยู่กันธรรมดา ในน้ำมีปลาในนามีข้าว ผู้คนไม่เดือดร้อน ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ เริ่มมีการใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติซึ่งถูกชี้นำจากต่างประเทศ ทำให้เรารับค่านิยมและหลักความคิดแบบตะวันตกมาเป็นเครื่องนำทาง เราจึงเปลี่ยนจากการดำรงชีพด้วยเกษตรพอมีพอกินตามทางสายกลาง มาเป็นการหาเลี้ยงชีพเพื่อความร่ำรวย เราพัฒนาทางวัตถุแต่ไม่ได้พัฒนาคุณธรรมและศีลธรรมของคนในชาติ เราถูกสอนให้ว่าต้องรวยต้องเป็นหนี้ ถึงจะมีความน่าเชื่อถือและการยอมรับ เราเลยคิดว่าการเกษตรไม่ทำให้รวยจึงหันมาทำอุตสาหกรรม ซึ่งไม่ใช่รากฐานของประเทศและเราเองก็ไม่มีศักยภาพที่จะพัฒนาเองได้ ผ่านมาถึงวันนี้ก็ ๕๐ กว่าปีแล้ว เรายังคงไม่ใช่ประเทศที่ร่ำรวยอะไร หนำซ้ำยังมีแต่หนี้ หนี้และก็หนี้ หมายความว่าเราเดินหลงทางอยู่ใช่หรือไม่? โปรดรับไว้พิจารณา..

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น