"..กฎหมายนี้มีช่องโหว่เสมอ ถ้าเราถือโอกาสในการมีช่องโหว่ของกฎหมาย เพื่อการทุจริตนั้นเป็นสิ่งที่เลวทราม และทำให้นำไปสู่ความหายนะ แต่ถ้าใช้ช่องโหว่ในกฎหมายเพื่อสร้างสรรค์ ก็เป็นการป้องกันมิให้ใช้ช่องโหว่ของกฏหมายในทางทุจริต.."
พระราชดำรัส พระราชทานแก่ผู้เข้าร่วมสัมมนาในการวางแผนการใช้ที่ดิน
โรงแรมรินคำ จังหวัดเชียงใหม่ ๗ มกราคม ๒๕๒๓
ปัญหาการครอบครองและกรรมสิทธิ์ในที่ดินเป็นปัญหาสำคัญอีกด้านหนึ่งสำหรับเกษตรกร มีพื้นที่ ๖๖.๓ ล้านไร่ ซึ่งมีเกษตรกรทำกินอยู่โดยไม่มีเอกสารสิทธิ์ใดๆ เลย และมีเกษตรกรจำนวนไม่น้อยกว่า ๕๐๐,๐๐๐ ครอบครัว หรือร้อยละ ๑๐.๗ ของครอบครัวเกษตรกรทั้งประเทศอยู่ในสภาพไร้ที่ทำกิน เมื่อรวมการเช่าที่ดินทั้งจากเกษตรกรที่มีที่ดินทำกินไม่เพียงพอ และเกษตรกรที่ไร้ที่ทำกินแล้ว รวมพื้นที่เช่าทั้งหมดถึง ๑๔ ล้านไร่
แนวพระราชดำริเกี่ยวกับงานพัฒนาที่ดิน โดยการจัดสรรที่ดินทำกินให้แก่ประชาชน เพื่อมิให้ประชาชนที่ไร้ที่ดินทำกินต้องไปทำงานเป็นทาสเขา ทรงเห็นว่ารัฐน่าจะดำเนินการตามความเหมาะสมของสภาพพื้นที่นั้นๆ เพื่อให้กรรมสิทธิ์แก่ราษฎรให้ทำกินได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่มิได้เป็นการออกโฉนดที่จะสามารถนำไปซื้อขายได้ เพียงแต่ควรให้ออกใบสัญญารับรองสิทธิทำกิน (สทก.) แบบมรดกตกทอดแก่ทายาทให้สามารถทำกินได้ตลอดไป และด้วยวิธีการนี้ก็ได้ช่วยให้ราษฎรมีกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นของตนเองและครอบครัว โดยไม่อาจนำที่ดินนั้นไปขายและไม่ไปบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนอื่นๆ อีกต่อไป
หลังจากนั้นทรงขยายขอบเขตงานด้านพัฒนาที่ดินตามสภาพภูมิประเทศต่างๆ เช่น การปรับปรุงดินเค็ม ดินเปรี้ยวหรือดินพลุ เป็นต้น รวมไปถึงการพัฒนาแหล่งน้ำ เพื่อการดำรงอยู่อย่างพึ่งพาตัวเองต่อไป
ข้อมูลจาก http://www.panyathai.or.th
ส.ป.ก. 4-01 กับมุมมองของผู้เขียน
ส.ป.ก.คือ เอกสารสิทธิ์เพื่อให้ประชาชนเข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมเท่านั้น แต่แล้วนักการเมืองชั่ว โดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กลับนำมาแจกให้คนใกล้ชิดที่ไม่มีคุณสมบัติเป็นเกษตรกรที่จังหวัดภูเก็ต หนำซ้ำในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับพยายามจะผลักดันให้เป็นโฉนดที่ดินเพื่อขายให้กับนายทุนได้อีก นี่คือความอัปยศเลวทรามที่สุดของการพัฒนาที่ดินในบ้านเรา โดยนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น